ย้อนไปเมื่อปี 2018 ผมไปดูฟุตบอลโลกที่รัสเซีย เกมแรกที่ไปดูเป็นนัด ญี่ปุ่นพบโคลัมเบีย ในรอบแบ่งกลุ่ม เตะกันที่ Saransk เมืองขนาดเล็กที่สุดในบรรดาเมืองที่เป็นเจ้าภาพ
Saransk ไม่ใช่เมืองท๊อปฮิต แถมไม่ได้เป็นเมืองท่องเที่ยว อีกทั้งยังหาข้อมูลลำบากมาก (จริงๆจะสื่อว่า บ้านนอกนั่นแหละ) ต้องนั่งรถไฟจากมอสโควใช้เวลา 10 ชั่วโมง ในห้องโดยสารแบ่งเป็นห้องละ 6 คน มีแฟนบอลโคลัมเบีย 4 คนไทย 2
บทสนทนาเริ่มด้วยก็เริ่มต้นด้วย
แฟนโคลัมเบีย “คุณมาจากญี่ปุ่นใช่ไหม”
ผม “มาจากไทยครับ”
แฟนโคลัมเบีย “จริงดิ พรุ่งนี้เชียร์ทีมอะไรล่ะ”
ผม “แน่นอน โคลัมเบียครับพี่” (จริงๆเตรียมชุดเชียร์ญี่ปุ่นอยู่ในกระเป๋า)
แฟนโคลัมเบีย “เยี่ยมมาก ไอ้น้อง เราพวกเดียวกัน”
เมื่อตอบแบบ “อยู่เป็น” จากนั้นเราก็เริ่มผูกมิตรกัน คุยกันเรื่อยเปื่อย จนไร้บทสนทนา เพราะนั่งรถนานมาก
เช้าอีกวันหนึ่งเป็นวันแข่งจริง ผมใส่ชุดเชียร์ญี่ปุ่นออกมาจากที่พัก (ถ้าย้อนมาเล่าถึงเรื่องที่พัก นี่คงอีกยาว เพราะเมืองเล็กมาก คนมหาศาล โรงแรมมีจำกัด เอาเป็นว่า ผมหาที่ซุกหัวนอนภายในห้องพักอารมณ์สงครามโลกครั้งที่สอง)
การเดินไปหาข้าวกิน ซื้อนั่นนี่ รวมถึงเดินไปสนามแข่ง ผมรู้สึกตกเป็นเป้าสายตา คนที่นี่คงจะแปลกตาเมื่อเจอคนเอเชียหน้าตี๋เดินตามท้องถนน
พวกคนแก่ เด็กๆ ก็จะทักเราตลอดทางเลยนะครับ “นิปปอนเนีย นิปปอนเนีย” (แปลว่า ญี่ปุ่น)
พอเวลาเจอแฟนโคลัมเบีย ด้วยความที่คนอเมริกาใต้ชอบสนุุกสนาน ก็ทักทายเรา “คอนนิจิวะ” ขอถ่ายรูปอย่างเป็นมิตรเลย
เมื่อเข้าไปใน Modovia Arena สนามที่ใช้แข่ง นักข่าวญี่ปุ่นพร้อมกล้องก็เดินเข้ามาขอสัมภาษณ์ พอเราบอกว่าเป็นคนไทย เขาก็ออกอาการเงิบนิดๆ
วันนั้นจบเกมญี่ปุ่นเฉือนชนะ 2-1 แฟนโคลัมเบียก็ผิดหวัง แต่ส่วนใหญ่เข้ามาแสดงความยินดีด้วย บางคนพูดภาษาญี่ปุ่นได้ ก็รัวใส่ผมเลยล่ะ ผมอึ้ง แทบไปต่อไม่เป็น
ระหว่างทางออกสนามก็ขอถ่ายรูป ทักทาย แสดงความยินดี ผมเดินกลับไปที่ Fan Fest ซึ่งเป็นลานที่ฟีฟ่าจัดกิจกรรม บ้างก็เอาเบียร์มาชนแก้วฉลอง
ตอนนั้นผมมีความรู้สึกประหลาดมาก ที่ใช้ชีวิตเป็นคนญี่ปุ่นแบบปลอมๆอยู่ 1 วัน มันยังไงก็ไม่รู้ เหมือนไม่ใช่ตัวของตัวเองเลย กลับกันถ้าหากวันหนึ่งเป็นคราวของทีมชาติไทยแข่งบ้าง ผมคงฟินและอินกว่านั้นเยอะเลย